เมื่อจำเป็นต้องใช้เงินด่วน และมีที่ดินอยู่ในมือ หลายคนมักนึกถึงการ “จำนำ” เพราะเป็นวิธีที่ง่ายและรวดเร็ว แต่คำถามสำคัญคือ การจำนำที่ดินกับโรงรับจำนำนั้น สามารถทำได้จริงหรือ? โรงรับจำนำจะรับโฉนดที่ดินไว้เป็นประกันหรือไม่? บทความนี้จากเพื่อนแท้เงินด่วนจะมาไขข้อข้องใจทั้งหมด พร้อมให้คำตอบที่ชัดเจนและแนะแนวทางที่ถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อให้คุณตัดสินใจได้อย่างรอบคอบ
สรุปชัด! จำนำที่ดินกับโรงรับจำนำทำได้จริงไหม?
ขอสรุปให้ชัดเจนตรงนี้เลยว่า การจำนำที่ดินกับโรงรับจำนำนั้น “ไม่สามารถทำได้” ตามกฎหมาย เหตุผลหลักคือ โรงรับจำนำถูกกำกับดูแลโดย พ.ร.บ. โรงรับจำนำ ซึ่งอนุญาตให้รับเฉพาะ “สังหาริมทรัพย์” (ทรัพย์สินที่เคลื่อนย้ายได้) เท่านั้น แต่ที่ดินและโฉนดที่ดิน ถือเป็น “อสังหาริมทรัพย์” (ทรัพย์สินที่เคลื่อนย้ายไม่ได้) จึงไม่อยู่ในประเภททรัพย์สินที่โรงรับจำนำจะรับจำนำได้
ทำไมโรงรับจำนำ ไม่รับจำนำที่ดิน (โฉนดที่ดิน)
เพื่อให้เข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าทำไมการจำนำที่ดินกับโรงรับจำนำจึงเป็นไปไม่ได้ เราจำเป็นต้องทำความเข้าใจนิยามทางกฎหมายของคำว่า “จำนำ” และประเภทของทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องอย่างชัดเจน
ไขข้อกฎหมาย จำนำคืออะไร
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 747 การ “จำนำ” (Pawn) คือสัญญาที่บุคคลหนึ่งเรียกว่า “ผู้จำนำ” ส่งมอบทรัพย์สินสิ่งหนึ่งเรียกว่า “ทรัพย์สินที่จำนำ” ให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่า “ผู้รับจำนำ” เพื่อเป็นประกันการชำระหนี้
หัวใจสำคัญของการจำนำ มี 2 ประการ คือ
- ทรัพย์สินที่จำนำ ต้องเป็น “สังหาริมทรัพย์” (Movable Property) หรือทรัพย์สินที่สามารถเคลื่อนย้ายได้ เช่น ทองคำ, นาฬิกา, เครื่องใช้ไฟฟ้า, อัญมณี, อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หรือรถยนต์ (ในกรณีจำนำเล่มทะเบียน)
- การส่งมอบ ผู้จำนำต้อง “ส่งมอบการครอบครอง” ทรัพย์นั้นให้ผู้รับจำนำ (โรงรับจำนำ) ยึดถือไว้จนกว่าจะมีการไถ่ถอน
ที่ดินคือ "อสังหาริมทรัพย์" ไม่ใช่ "สังหาริมทรัพย์"
ในทางกลับกัน ที่ดิน, บ้าน, อาคาร, หรือคอนโดมิเนียม จัดเป็น “อสังหาริมทรัพย์” (Immovable Property) ตามนิยามของกฎหมาย หมายถึง ทรัพย์สินที่ติดอยู่กับพื้นดิน หรือประกอบเป็นอันเดียวกับที่ดิน ไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้
ด้วยเหตุนี้ ที่ดินจึงไม่เข้าข่าย “สังหาริมทรัพย์” ที่จะนำไป “จำนำ” ตามความหมายของกฎหมายได้เลย นอกจากนี้ ธุรกิจโรงรับจำนำ (ทั้งของรัฐและเอกชน) ยังดำเนินงานภายใต้พระราชบัญญัติโรงรับจำนำ พ.ศ. 2505 ซึ่งกำหนดขอบเขตชัดเจนว่ารับได้เฉพาะสังหาริมทรัพย์เท่านั้น การพยายามจำนำที่ดินกับโรงรับจำนำจึงไม่สามารถทำได้
แล้วโฉนดที่ดินล่ะ?
บางคนอาจสงสัยว่า ถ้าเอา “ตัวที่ดิน” ไปจำนำไม่ได้ แล้วเอา “โฉนดที่ดิน” (ซึ่งเป็นกระดาษที่เคลื่อนย้ายได้) ไปจำนำแทนได้หรือไม่?
คำตอบคือ “ไม่ได้” เช่นกัน
เพราะโฉนดที่ดินเป็นเพียง “เอกสารแสดงสิทธิ์” ในความเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์นั้นๆ ไม่ใช่ตัวทรัพย์สินที่มีมูลค่าในตัวเอง (แบบเดียวกับทองคำ) การที่โรงรับจำนำยึดโฉนดไว้ ไม่ได้ก่อให้เกิดสิทธิ์ใดๆ ในการบังคับชำระหนี้เหนือที่ดินผืนนั้นตามกฎหมายว่าด้วยการจำนำเลย ดังนั้น ความคิดที่จะจำนำที่ดินกับโรงรับจำนำโดยใช้แค่โฉนดจึงไม่ถูกต้อง และไม่มีโรงรับจำนำที่ถูกกฎหมายแห่งใดรับทำ
แล้วจำนำโฉนดที่ดินคืออะไรกันแน่
เมื่อเราเข้าใจแล้วว่าการจำนำที่ดินกับโรงรับจำนำทำไม่ได้ แล้วทำไมเรายังเห็นป้ายโฆษณาหรือคำพูดติดปากว่า “รับจำนำโฉนดที่ดิน” หรือ “จำนำที่ดิน” อยู่ทั่วไป?
คำตอบคือ คำเหล่านี้เป็นเพียง “ภาษาพูด” หรือ “คำทางการตลาด” ที่ใช้กันจนคุ้นชิน เพื่อสื่อสารให้เข้าใจง่ายว่า คือการนำที่ดินไปเป็นหลักประกันเพื่อแลกกับเงินสด แต่ในความเป็นจริง กระบวนการทางกฎหมายที่เกิดขึ้นไม่ใช่การ “จำนำ” แต่เป็นหนึ่งในสองวิธีนี้
1. การจำนอง
วิธีที่ถูกต้องและเป็นที่นิยมที่สุด คือการ “จำนอง” การจำนอง คือการที่เจ้าของที่ดิน (ผู้จำนอง) นำที่ดินของตนไปจดทะเบียนเป็นหลักประกันการชำระหนี้ไว้กับผู้รับจำนอง (เจ้าหนี้) โดย “ไม่ต้องส่งมอบที่ดิน” ผืนนั้น กรรมสิทธิ์ในที่ดินยังคงเป็นของเจ้าของเดิมทุกประการ
2. การขายฝาก
อีกวิธีหนึ่งที่มักถูกเรียกปนกับการจำนำ คือ “การขายฝาก” ซึ่งมีความแตกต่างและมีความเสี่ยงสูงกว่าการจำนองมาก การขายฝาก คือ “สัญญาซื้อขาย” รูปแบบหนึ่ง โดยกรรมสิทธิ์ในที่ดินจะ “โอนไปยังผู้ซื้อฝาก (เจ้าหนี้) ทันที” ณ วันที่ทำสัญญา แต่มีข้อตกลงเพิ่มเติมว่า ผู้ขายฝาก (ลูกหนี้) มีสิทธิ์ “ไถ่ถอน” หรือซื้อที่ดินคืนได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด
ทางเลือกที่ถูกต้อง เมื่อต้องการใช้ที่ดินเป็นหลักประกัน
เมื่อการจำนำที่ดินกับโรงรับจำนำไม่ใช่ทางเลือกที่ทำได้ แล้วทางเลือกที่ถูกต้องตามกฎหมายเมื่อต้องการใช้ที่ดินเป็นหลักประกันมีอะไรบ้าง? เรามาลงรายละเอียดของ “จำนอง” และ “ขายฝาก” ซึ่งเป็นสองวิธีหลักที่ถูกต้องตามกฎหมาย
1. การจำนองที่ดิน
การจำนอง คือ นิติกรรมสัญญาที่เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ (เรียกว่า “ผู้จำนอง”) นำทรัพย์สินของตน (เช่น ที่ดินโฉนด น.ส. 4, น.ส. 3 ก., บ้าน, คอนโด) ไปจดทะเบียนไว้กับผู้รับจำนอง (เจ้าหนี้ เช่น ธนาคาร หรือสถาบันการเงิน) เพื่อเป็นหลักประกันในการชำระหนี้
จุดเด่นสำคัญคือกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้นยังคงเป็นของผู้จำนอง (ลูกหนี้) 100% ผู้จำนองยังมีสิทธิ์อาศัย ใช้ประโยชน์ หรือปล่อยเช่าที่ดินนั้นได้ตามปกติ ไม่จำเป็นต้องส่งมอบการครอบครองที่ดิน ภาระผูกพันจะถูกสลักหลังโฉนดไว้เป็นหลักฐาน
การจำนองที่ดินต้องทำที่ไหน
การจำนองต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อหน้าพนักงานเจ้าหน้าที่ ณ กรมที่ดิน หรือสำนักงานที่ดินจังหวัด/สาขา ที่ที่ดินนั้นตั้งอยู่เท่านั้น หากทำสัญญากันเองโดยไม่ไปจดทะเบียน สัญญานั้นจะมีผลเป็นโมฆะ (ไม่ถือเป็นการจำนอง)
ข้อดีและข้อเสียการจำนองที่ดิน
- ข้อดี
- ความปลอดภัยสูง: กรรมสิทธิ์ยังเป็นของเรา ตราบใดที่ยังชำระหนี้ตามปกติ
- กระบวนการยุติธรรม: หากผิดนัดชำระหนี้ เจ้าหนี้ไม่สามารถยึดที่ดินได้ทันที ต้องดำเนินการฟ้องร้องต่อศาลเพื่อบังคับคดี (ยึดที่ดินไปขายทอดตลาด) ซึ่งลูกหนี้ยังมีโอกาสเจรจาหรือหาเงินมาไถ่ถอน
- อัตราดอกเบี้ย: โดยทั่วไป อัตราดอกเบี้ยการจำนอง (โดยเฉพาะกับสถาบันการเงินในระบบ) มักจะต่ำกว่าการขายฝาก และอยู่ภายใต้การกำกับของกฎหมาย
- ข้อเสีย/ข้อควรพิจารณา
- วงเงินอนุมัติ: มักได้วงเงินต่ำกว่าการขายฝาก โดยทั่วไปอยู่ที่ 50%-80% ของราคาประเมิน
- กระบวนการอนุมัติ: หากจำนองกับธนาคาร อาจมีขั้นตอนการพิจารณาที่ซับซ้อนกว่า ต้องตรวจสอบประวัติเครดิต (เครดิตบูโร) รายได้ และใช้เวลาอนุมัตินานกว่า ซึ่งต่างจากการ จำนำที่ดินกับโรงรับจำนำ ที่คนมักเข้าใจผิดว่ารวดเร็ว
2. การขายฝากที่ดิน
การขายฝาก คือ สัญญาซื้อขายประเภทหนึ่ง ซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินจะ “โอน” ไปยังผู้ซื้อฝาก (เจ้าหนี้) ทันทีในวันที่ทำสัญญา
จุดเด่นสำคัญคือสัญญานี้มีเงื่อนไขพิเศษให้ผู้ขายฝาก (ลูกหนี้) สามารถ “ไถ่ถอน” หรือซื้อทรัพย์สินนั้นคืนได้ภายในระยะเวลาที่ตกลงกัน แต่ตามกฎหมายคุ้มครองประชาชนฯ กำหนดระยะเวลาไถ่ถอนอสังหาริมทรัพย์ไว้ไม่เกิน 10 ปี หากไม่ไถ่ถอนภายในกำหนด ทรัพย์จะหลุดเป็นของผู้ซื้อฝากทันที
การขายฝากที่ดินต้องทำที่ไหน
เช่นเดียวกับการจำนอง การขายฝาก “ต้อง” ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อหน้าพนักงานเจ้าหน้าที่ ณ สำนักงานที่ดิน เท่านั้น มิฉะนั้นสัญญาจะเป็นโมฆะ
ข้อดีและข้อเสียการขายฝากที่ดิน
- ข้อดี
- วงเงินสูง: มักได้วงเงินอนุมัติที่สูงกว่าการจำนอง (อาจสูงถึง 70%-80% หรือมากกว่า) เนื่องจากผู้รับซื้อฝากมีความเสี่ยงต่ำกว่า (เพราะได้กรรมสิทธิ์ไปเลย)
- อนุมัติง่ายและเร็วกว่า: (โดยเฉพาะกับนายทุน) มักไม่ตรวจสอบเครดิตบูโร หรือสเตทเมนต์ซับซ้อนเท่าธนาคาร
- ข้อเสีย/ข้อควรพิจารณา
- ความเสี่ยงสูงสุด: นี่คือข้อเสียที่ใหญ่ที่สุด หากผู้ขายฝากไม่สามารถนำเงินมาไถ่ถอนได้ภายในกำหนดเวลา แม้จะขาดไปเพียงวันเดียว กรรมสิทธิ์ในที่ดินจะตกเป็นของผู้ซื้อฝาก (เจ้าหนี้) โดยสมบูรณ์ทันที (เรียกว่า “ทรัพย์หลุด”) โดยไม่ต้องมีการฟ้องร้อง นี่คือความเสี่ยงที่การ จำนำที่ดินกับโรงรับจำนำ (หากทำได้) จะไม่มีทางเทียบได้
- ค่าธรรมเนียมสูง: ค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ (ทั้งตอนขายฝากและตอนไถ่ถอน) มักจะสูงกว่าค่าธรรมเนียมการจดจำนอง
- ดอกเบี้ย (สินไถ่): อัตราดอกเบี้ย (หรือที่เรียกว่า “สินไถ่”) มักจะสูงกว่าการจำนอง
ตารางเปรียบเทียบการจำนำ vs จำนอง vs ขายฝาก
คุณสมบัติ | การจำนำ | การจำนอง | การขายฝาก |
ประเภททรัพย์สิน | สังหาริมทรัพย์ | อสังหาริมทรัพย์ | อสังหาริมทรัพย์ |
กรรมสิทธิ์ | ยังเป็นของลูกหนี้ | ยังเป็นของลูกหนี้ | โอนไปเป็นของเจ้าหนี้ทันที |
การครอบครอง | ต้องส่งมอบให้เจ้าหนี้ยึดถือ | ลูกหนี้ยังครอบครองและใช้ประโยชน์ได้ | ลูกหนี้อาจยังใช้ประโยชน์ได้ |
สถานที่ทำสัญญา | ทำที่โรงรับจำนำ หรือตกลงกันเอง | ต้องจดทะเบียนที่สำนักงานที่ดิน | ต้องจดทะเบียนที่สำนักงานที่ดิน |
เมื่อผิดนัดชำระ | เจ้าหนี้บังคับจำนำ | เจ้าหนี้ต้องฟ้องศาล เพื่อบังคับคดี (ขายทอดตลาด) | ทรัพย์ตกเป็นของเจ้าหนี้ (หลุด) ทันที เมื่อพ้นกำหนดไถ่ถอน |
ความเข้าใจผิด | มักถูกเข้าใจผิดว่าจำนำที่ดินกับโรงรับจำนำได้ | คือจำนำโฉนดในภาษาพูด | คือจำนำโฉนดในภาษาพูด |
ความเสี่ยงของการ "จำนำที่ดินนอกระบบ"
เนื่องจากการจำนำที่ดินกับโรงรับจำนำนั้นทำไม่ได้ และการจำนอง/ขายฝากที่ถูกต้องต้องไปกรมที่ดิน ทำให้หลายคนที่ต้องการเงินด่วน หรือมีปัญหาติดขัดด้านเอกสาร อาจหันไปหา “การจำนำโฉนดนอกระบบ” หรือ “กู้นอกระบบ” โดยใช้โฉนดค้ำประกันแทน
การกระทำเช่นนี้ คือการที่นายทุน (เจ้าหนี้นอกระบบ) รับโฉนดตัวจริงไปยึดถือไว้ แล้วทำเพียงสัญญากู้ยืมเงินกันเอง หรือแย่กว่านั้น คือการบังคับให้เซ็น “สัญญาโอนลอย” หรือ “สัญญามอบอำนาจ” ทิ้งไว้ โดยไม่ได้ไปจดทะเบียนใดๆ ที่สำนักงานที่ดิน การกระทำลักษณะนี้แฝงไว้ด้วยความเสี่ยงมหาศาล และเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงอย่างเด็ดขาด
สัญญาที่ไม่เป็นธรรมและดอกเบี้ยโหด
ปัญหาส่วนใหญ่ที่พบคือ “สัญญาที่ไม่เป็นธรรม” นายทุนนอกระบบมักใช้ความเดือดร้อนของลูกหนี้เป็นข้อได้เปรียบ กำหนดเงื่อนไขที่เอาเปรียบอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “อัตราดอกเบี้ย” ที่สูงเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด (ตามกฎหมายคือไม่เกินร้อยละ 15 ต่อปี หรือไม่เกิน 1.25% ต่อเดือน) การกู้นอกระบบอาจพบดอกเบี้ยร้อยละ 5 หรือร้อยละ 10 “ต่อเดือน” ซึ่งทำให้หนี้สินพอกพูนอย่างรวดเร็วจนยากที่จะชำระคืนได้หมด การที่คนมองหาการจำนำที่ดินกับโรงรับจำนำเพราะคิดว่าดอกเบี้ยถูก อาจนำไปสู่การเจอนายทุนนอกระบบที่ดอกเบี้ยแพงกว่าหลายเท่า
ความเสี่ยงในการถูกยึดที่ดินแบบไม่ถูกต้อง
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ “การถูกยึดที่ดิน” หากลูกหนี้เซ็นสัญญาโอนลอย หรือสัญญามอบอำนาจที่ไม่ได้กรอกข้อความไว้ เมื่อลูกหนี้ผิดนัดชำระเพียงเล็กน้อย นายทุนสามารถนำเอกสารเหล่านั้นไปดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินเป็นของตนเองได้ทันที โดยที่ลูกหนี้ไม่มีโอกาสโต้แย้ง หรือต้องไปสู้คดีกันในภายหลังซึ่งเสียทั้งเงินและเวลา นอกจากนี้ การยึดโฉนดตัวจริงไว้ ทำให้นายทุนมีอำนาจต่อรองสูงมาก อาจมีการข่มขู่ บังคับ เพื่อให้ลูกหนี้ยอมโอนที่ดินให้ นี่คือสิ่งที่กระบวนการในระบบไม่มีทางเกิดขึ้น
การกระทำที่ผิดกฎหมาย
ต้องย้ำว่า สัญญา “จำนำโฉนด” ที่ทำกันเองโดยไม่ไปจดทะเบียนที่กรมที่ดิน “ไม่มีผลผูกพัน” ในฐานะสัญญาจำนองหรือขายฝากตามกฎหมาย สัญญาดังกล่าวอาจมีผลเป็นเพียง “สัญญากู้ยืมเงิน” ธรรมดา (หากมีการลงลายมือชื่อ) ซึ่งหมายความว่าเจ้าหนี้ไม่มีสิทธิ์ในตัวที่ดินผืนนั้นโดยตรง หากลูกหนี้ไม่จ่าย เจ้าหนี้ต้องฟ้องร้องเป็นคดีแพ่งเรื่องกู้ยืมเงินเท่านั้น ไม่สามารถมายึดที่ดินไปได้ง่ายๆ แต่ในทางปฏิบัติ ผู้กู้นอกระบบมักเสียเปรียบเพราะขาดความรู้ทางกฎหมาย และถูกบังคับโดยสัญญาโอนลอยที่เซ็นไว้ การพยายามจำนำที่ดินกับโรงรับจำนำแล้วหาไม่ได้ จนต้องไปพึ่งนอกระบบ จึงเป็นทางเลือกที่อันตรายอย่างยิ่ง
คำถามที่พบบ่อยจำนำที่ดินกับโรงรับจำนำ
โรงรับจำนำของรัฐ (สถานธนานุเคราะห์/สถานธนานุบาล) รับจำนำที่ดินหรือไม่
ไม่รับเช่นกัน สถานธนานุเคราะห์ (ของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ) และ สถานธนานุบาล (ของ กทม./เทศบาล) ต่างก็เป็น “โรงรับจำนำ” ที่อยู่ภายใต้ พ.ร.บ. โรงรับจำนำ ฉบับเดียวกัน ดังนั้นจึงรับได้เฉพาะ “สังหาริมทรัพย์” เท่านั้น การจำนำที่ดินกับโรงรับจำนำของรัฐจึงไม่สามารถทำได้
จำนองที่ดินกับขายฝาก อันไหนดีกว่ากัน
ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และความเสี่ยงที่ยอมรับได้ หากต้องการความปลอดภัย กรรมสิทธิ์ยังเป็นของเรา และมีกระบวนการศาลคุ้มครอง “การจำนอง” ปลอดภัยกว่า แต่หากต้องการวงเงินที่สูงมาก และมั่นใจว่าจะไถ่ถอนได้ทันเวลา “การขายฝาก” อาจตอบโจทย์ แต่ต้องยอมรับความเสี่ยงที่สูงกว่ามาก
ใช้โฉนด น.ส. 3 ก. หรือเอกสารสิทธิ์อื่น ไปจำนองได้หรือไม่
“จำนอง” สามารถทำได้กับเอกสารสิทธิ์ที่ดินหลายประเภท ทั้งโฉนดครุฑแดง (น.ส. 4) และเอกสารรับรองการทำประโยชน์ เช่น น.ส. 3 ก. หรือ น.ส. 3 (ครุฑเขียว/ครุฑดำ) แต่วงเงินที่ได้จาก น.ส. 3 ก. หรือ น.ส. 3 มักจะน้อยกว่าโฉนด น.ส. 4 / ส่วน “การขายฝาก” ตามกฎหมายใหม่ บังคับให้ทำได้เฉพาะที่ดินที่มี “โฉนด” (น.ส. 4) เท่านั้น
จำนองที่ดินกับธนาคาร กับ บุคคลทั่วไป (นายทุน) ต่างกันอย่างไร
“ธนาคาร/สถาบันการเงิน” จะมีขั้นตอนที่เข้มงวดกว่า ต้องตรวจสอบประวัติเครดิตบูโร, ที่มาของรายได้, และใช้เวลาพิจารณานานกว่า แลกกับอัตราดอกเบี้ยที่มักจะต่ำกว่า / “บุคคลทั่วไป (นายทุนในระบบ)” อาจอนุมัติง่ายกว่า ไม่ตรวจสอบเครดิตบูโร แต่ต้องแลกกับอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่า (แต่ทั้งคู่ต้องไปทำที่กรมที่ดิน)
ถ้าไม่ไถ่ถอนจำนอง/ขายฝาก จะเกิดอะไรขึ้น
“กรณีจำนอง” หากลูกหนี้ผิดนัด เจ้าหนี้ต้องส่งหนังสือบอกกล่าวทวงถามก่อน จากนั้นต้อง “ฟ้องศาล” เพื่อให้ศาลมีคำสั่งบังคับคดี (ยึดทรัพย์) และนำที่ดินไป “ขายทอดตลาด” หากมีเงินเหลือจากการชำระหนี้ ก็ต้องคืนให้ลูกหนี้ / “กรณีขายฝาก” หากลูกหนี้ไม่ไถ่ถอนภายในกำหนดเวลา แม้เพียงวันเดียว “กรรมสิทธิ์ในที่ดินจะตกเป็นของผู้ซื้อฝาก (เจ้าหนี้) โดยสมบูรณ์ทันที” โดยไม่ต้องฟ้องศาล (เรียกว่าทรัพย์หลุด)
สรุปบทความ
โดยสรุป การจำนำที่ดินกับโรงรับจำนำนั้นไม่สามารถทำได้ทางกฎหมาย เพราะที่ดินคืออสังหาริมทรัพย์ ทางออกที่ถูกต้องคือการจำนอง หรือขายฝาก ซึ่งต้องทำที่กรมที่ดินเท่านั้น และควรหลีกเลี่ยงการกู้นอกระบบที่เสี่ยงถูกเอาเปรียบอย่างที่สุด
สำหรับผู้ที่มองหาทางออก เพื่อนแท้เงินด่วน ช่วยให้การไถ่ถอนจำนอง หรือขอสินเชื่อใหม่เป็นเรื่องง่าย ไม่ต้องกังวลเรื่องดอกเบี้ยจำนองที่สูงเกินจริง เราให้วงเงินสูงสุดถึง 130% ของราคาประเมิน* (*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด) ด้วยบริการที่รวดเร็ว ช่วยลดขั้นตอนให้คุณ ไม่ต้องเสียเวลาไปกับการดำเนินการจดจำนองที่กรมที่ดินด้วยตัวเอง






