ในยามที่ชีวิตต้องการเงินก้อนใหญ่ ไม่ว่าจะเพื่อต่อยอดธุรกิจ, ปิดหนี้บัตรเครดิต, หรือใช้เป็นค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน การมองหาแหล่งเงินทุนที่เหมาะสมคือสิ่งสำคัญ “สินเชื่อแบบมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน” ถือเป็นหนึ่งในทางออกที่ชาญฉลาดและได้รับความนิยมสูง เนื่องจากเป็นวิธีที่ช่วยให้เข้าถึงวงเงินสูงในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าสินเชื่อประเภทอื่นอย่างเห็นได้ชัด เพิ่มโอกาสในการอนุมัติให้เป็นไปได้ง่ายขึ้น วันนี้ “เพื่อนแท้เงินด่วน” ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน จะพาไปทำความรู้จักกับสินเชื่อมีหลักประกันให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เพื่อให้คุณตัดสินใจเลือกได้อย่างคุ้มค่าที่สุด
หลักทรัพย์ค้ำประกันคืออะไร
หลักทรัพย์ค้ำประกัน (Collateral) คือ สินทรัพย์ที่มีมูลค่าจับต้องได้ ซึ่งผู้ขอสินเชื่อนำมาวางไว้กับสถาบันการเงินหรือผู้ให้บริการสินเชื่อ เพื่อใช้เป็นหลักประกันในการกู้ยืมเงิน โดยสินทรัพย์นั้นจะต้องเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้กู้หรือได้รับการยินยอมจากเจ้าของกรรมสิทธิ์ตามกฎหมาย การมีหลักทรัพย์ค้ำประกันเปรียบเสมือนการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ให้กู้ว่า หากเกิดกรณีผู้กู้ไม่สามารถชำระหนี้คืนได้ตามสัญญา ผู้ให้กู้จะยังคงมีความเสี่ยงที่ต่ำลง เพราะสามารถนำหลักทรัพย์นั้นไปดำเนินการทางกฎหมายเพื่อชำระหนี้ที่คงค้างได้
ทำไมการกู้เงินต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน
การใช้หลักทรัพย์ค้ำประกันเป็นกลไกที่สร้างประโยชน์ให้กับทั้งสองฝ่าย ทั้งผู้ให้กู้และผู้กู้เอง ซึ่งสามารถอธิบายเหตุผลและความสำคัญได้จากสองมุมมองหลัก ดังนี้
- ในมุมของผู้ให้กู้ (Lender) เหตุผลสำคัญที่สุดคือ “การบริหารจัดการความเสี่ยง” การปล่อยสินเชื่อทุกประเภทย่อมมีความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ การมีสินทรัพย์ของผู้กู้มาเป็นหลักประกัน ช่วยลดความเสี่ยงดังกล่าวลงได้อย่างมหาศาล หากผู้กู้ผิดนัดชำระหนี้จนถึงขั้นตอนสุดท้ายตามกฎหมาย ผู้ให้กู้สามารถยึดหลักทรัพย์นั้นเพื่อนำไปขายทอดตลาดและนำเงินมาชดเชยความเสียหายได้ ทำให้กล้าที่จะอนุมัติวงเงินที่สูงขึ้นและเสนออัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงได้
- ในมุมของผู้กู้ (Borrower) การมีสินทรัพย์เพื่อใช้เป็นหลักประกันในการขอสินเชื่อแบบมีหลักทรัพย์ค้ำประกันเปิดประตูสู่โอกาสทางการเงินที่ดีกว่าหลายประการ
- เพิ่มโอกาสในการอนุมัติ โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ทำอาชีพอิสระ หรือมีรายได้ไม่แน่นอน การมีหลักทรัพย์ค้ำประกันจะทำให้สถาบันการเงินพิจารณาอนุมัติสินเชื่อได้ง่ายขึ้น
- ได้รับวงเงินที่สูงขึ้น วงเงินอนุมัติมักจะขึ้นอยู่กับมูลค่าของหลักทรัพย์ที่นำมาค้ำประกัน ซึ่งส่วนใหญ่มักได้วงเงินสูงกว่าสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน
- อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า เนื่องจากผู้ให้กู้มีความเสี่ยงน้อยลง จึงสามารถเสนออัตราดอกเบี้ยที่ถูกกว่าสินเชื่อประเภทอื่นได้อย่างชัดเจน ทำให้ภาระในการผ่อนชำระต่อเดือนลดลง
หลักทรัพย์ค้ำประกันมีอะไรบ้าง
เมื่อพูดถึงสินเชื่อมีหลักประกันหลายคนอาจสงสัยว่า หลักทรัพย์ค้ำประกันมีอะไรบ้างที่สามารถนำมาใช้ได้ โดยทั่วไปแล้ว สินทรัพย์ที่นิยมใช้สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ อสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์ ซึ่งแต่ละประเภทก็มีรายละเอียดปลีกย่อยแตกต่างกันไป
ประเภทที่ 1: อสังหาริมทรัพย์ (Immovable Property)
อสังหาริมทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันประเภทแรกๆ ที่คนนึกถึง เนื่องจากมีมูลค่าสูงและมีความมั่นคง ทำให้สามารถขอวงเงินสินเชื่อได้สูงและได้รับอัตราดอกเบี้ยที่ดีเป็นพิเศษ โดยอสังหาริมทรัพย์ที่นิยมใช้ค้ำประกัน ได้แก่
- บ้านและทาวน์โฮม เป็นหลักทรัพย์ที่ได้รับความนิยมสูงสุด เนื่องจากเป็นที่อยู่อาศัย มีราคาประเมินชัดเจน
- ที่ดินเปล่า โฉนดที่ดิน (น.ส. 4) เป็นเอกสารสิทธิ์ที่สถาบันการเงินยอมรับและให้มูลค่าสูง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการวงเงินก้อนใหญ่
- คอนโดมิเนียม ห้องชุดหรืออาคารชุดที่มีหนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุด (อ.ช. 2) สามารถใช้เป็นหลักประกันได้เช่นกัน และเป็นที่นิยมในเขตเมือง
- อาคารพาณิชย์ ตึกแถวหรือโฮมออฟฟิศที่ใช้ทำธุรกิจและอยู่อาศัย สามารถนำมาเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันได้ดี
ประเภทที่ 2: สังหาริมทรัพย์ (Movable Property)
สังหาริมทรัพย์คือสินทรัพย์ที่สามารถเคลื่อนย้ายได้ การขอสินเชื่อแบบมีหลักทรัพย์ค้ำประกันโดยใช้สินทรัพย์ประเภทนี้มักจะมีขั้นตอนที่รวดเร็วกว่า แต่ก็อาจได้วงเงินและอัตราดอกเบี้ยที่แตกต่างจากอสังหาริมทรัพย์ ตัวอย่างเช่น
- รถยนต์ / รถมอเตอร์ไซค์ (ที่ปลอดภาระแล้ว) สินเชื่อจำนำทะเบียนรถเป็นรูปแบบที่รวดเร็วและสะดวกที่สุด เพียงมีเล่มทะเบียนก็สามารถยื่นขอสินเชื่อได้
- เงินฝากประจำ หรือสลากออมทรัพย์ สามารถใช้บัญชีเงินฝากประจำหรือสลากออมทรัพย์ของธนาคารมาเป็นหลักประกันเพื่อขอสินเชื่อได้
- พันธบัตรรัฐบาล หรือหุ้นกู้ ตราสารหนี้ที่มีความน่าเชื่อถือสูง สามารถนำมาใช้ค้ำประกันสินเชื่อได้กับสถาบันการเงินบางแห่ง
- ทองคำ หรือสินทรัพย์มีค่าอื่นๆ สินทรัพย์อื่นๆ เช่น ทองคำแท่ง, เครื่องประดับ, หรือของสะสมที่มีมูลค่า สามารถใช้ค้ำประกันได้ ขึ้นอยู่กับนโยบายของผู้ให้บริการสินเชื่อแต่ละราย
สินเชื่อแบบมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน และ ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันต่างกันอย่างไร
เพื่อการตัดสินใจที่รอบด้าน การทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่างสินเชื่อแบบมีหลักทรัพย์ค้ำประกันกับสินเชื่อประเภทอื่น รวมถึงความแตกต่างระหว่างการใช้ “ทรัพย์สิน” กับ “บุคคล” ในการค้ำประกัน เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามเด็ดขาด
ความแตกต่างที่ชัดเจนที่สุดระหว่างสินเชื่อสองประเภทนี้ส่งผลโดยตรงต่อภาระและผลประโยชน์ที่ผู้กู้จะได้รับ ซึ่งสรุปเป็นตารางเปรียบเทียบได้ดังนี้
| ประเด็นเปรียบเทียบ | สินเชื่อแบบมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน | สินเชื่อไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน |
| อัตราดอกเบี้ย | ต่ำกว่าอย่างมีนัยสำคัญ | สูงกว่า |
| วงเงินอนุมัติ | สูง (อิงตามมูลค่าหลักทรัพย์) | ต่ำกว่า (อิงตามรายได้และเครดิต) |
| ระยะเวลาผ่อนชำระ | ยาวนานกว่า (สูงสุด 20-30 ปี) | สั้นกว่า (ส่วนใหญ่ไม่เกิน 5-7 ปี) |
| คุณสมบัติผู้กู้ | ยืดหยุ่นกว่า (เน้นที่หลักทรัพย์) | เข้มงวด (เน้นรายได้และประวัติเครดิต) |
| ความเร็วในการอนุมัติ | ใช้เวลามากกว่า (มีขั้นตอนประเมินราคา) | รวดเร็วกว่ามาก |
หลักทรัพย์ค้ำประกัน ต่างจากคนค้ำประกันอย่างไร
แม้จะเรียกว่า “การค้ำประกัน” เหมือนกัน แต่การใช้ทรัพย์สินและบุคคลค้ำประกันนั้นมีภาระผูกพันทางกฎหมายที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
- หลักทรัพย์ค้ำประกัน คือการนำ “สินทรัพย์” มาเป็นตัวประกัน ภาระผูกพันจะอยู่ที่ตัวทรัพย์สินนั้นๆ หากผู้กู้ผิดนัดชำระหนี้ สิทธิ์ของผู้ให้กู้คือการดำเนินการกับทรัพย์สินตามกฎหมายเพื่อนำไปขายทอดตลาด ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสถานะทางการเงินส่วนอื่นของเจ้าของทรัพย์โดยตรง
- คนค้ำประกัน คือการนำ “เครดิตและความสามารถในการชำระหนี้ของบุคคล” มาเป็นตัวประกัน ผู้ค้ำประกันมีสถานะเป็น “ลูกหนี้ร่วม” ตามกฎหมาย หากผู้กู้หลักผิดนัดชำระหนี้ ผู้ค้ำประกันจะต้องรับผิดชอบชำระหนี้ทั้งหมดแทน และจะส่งผลกระทบต่อประวัติเครดิตบูโรของผู้ค้ำประกันโดยตรง
เปรียบเทียบหลักทรัพย์ค้ำประกันแบบไหนคุ้มค่าที่สุด
คำว่า “คุ้มค่า” สำหรับแต่ละคนนั้นไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับเป้าหมายและความต้องการทางการเงินเป็นหลัก หากคุณกำลังตัดสินใจว่าจะใช้สินทรัพย์ประเภทไหนสำหรับสินเชื่อแบบมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ลองมาวิเคราะห์เปรียบเทียบจากปัจจัยสำคัญ 3 ด้าน เพื่อหาคำตอบที่ใช่ที่สุดสำหรับคุณ
ด้านวงเงินอนุมัติ
หากเป้าหมายหลักคือการได้รับ “วงเงินสูงสุด” อสังหาริมทรัพย์อย่างบ้านและที่ดินคือตัวเลือกที่ตอบโจทย์ที่สุด เนื่องจากมีราคาประเมินที่สูงและมีเสถียรภาพ สถาบันการเงินมักจะให้วงเงินสูงถึง 80-95% ของราคาประเมิน ในขณะที่รถยนต์จะมีเพดานวงเงินที่ต่ำกว่าและมูลค่าจะลดลงตามกาลเวลา
ด้านอัตราดอกเบี้ย
ในด้าน “อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำที่สุด” อสังหาริมทรัพย์ยังคงเป็นตัวเลือกที่ได้เปรียบ เนื่องจากเป็นหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำในมุมมองของผู้ให้กู้ ทำให้สามารถเสนออัตราดอกเบี้ยที่ถูกกว่าการใช้รถยนต์หรือสังหาริมทรัพย์อื่นๆ ได้ ซึ่งส่งผลให้ยอดผ่อนชำระต่อเดือนน้อยลงและประหยัดค่าดอกเบี้ยในระยะยาว
ด้านสภาพคล่องและความรวดเร็ว
สำหรับผู้ที่ต้องการ “เงินด่วนและขั้นตอนไม่ซับซ้อน” สินเชื่อที่ใช้รถยนต์เป็นหลักประกัน หรือที่เรียกว่า “สินเชื่อจำนำทะเบียนรถ” คือผู้ชนะในด้านนี้ กระบวนการประเมินราคาและอนุมัติทำได้รวดเร็วกว่ามาก บางครั้งสามารถรับเงินได้ภายในวันเดียว ต่างจากอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องมีขั้นตอนการประเมินราคาและจดจำนองที่กรมที่ดินซึ่งใช้เวลาหลายวันทำการ
สรุปตารางเปรียบเทียบ บ้าน, ที่ดิน และรถยนต์
เพื่อให้เห็นภาพและตัดสินใจได้ง่ายขึ้น เราได้สรุปข้อดีข้อเสียของหลักทรัพย์แต่ละประเภทสำหรับ สินเชื่อมีหลักประกัน มาให้ในตารางเดียว เพื่อให้คุณพิจารณาว่าหลักทรัพย์ค้ำประกันมีอะไรบ้างที่เหมาะกับสถานการณ์ของคุณ
| หลักทรัพย์ | วงเงิน | อัตราดอกเบี้ย | ความเร็วในการอนุมัติ | ความซับซ้อนของเอกสาร |
| บ้าน/คอนโด | สูงมาก | ต่ำที่สุด | ปานกลาง – ช้า | สูง |
| ที่ดินเปล่า | สูง | ต่ำ | ช้า | สูง |
| รถยนต์ | ปานกลาง | ปานกลาง – สูง | รวดเร็วที่สุด | ต่ำ |
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับสินเชื่อมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน
ถ้าผิดนัดชำระหนี้ ธนาคารจะยึดหลักทรัพย์เลยไหม?
ไม่ในทันที โดยทั่วไปสถาบันการเงินจะดำเนินการตามขั้นตอน คือเริ่มจากการติดตามทวงถาม, ส่งหนังสือแจ้งเตือน, เสนอการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ หากยังไม่สามารถชำระได้จึงจะเข้าสู่กระบวนการฟ้องร้องตามกฎหมาย และคำสั่งศาลจะเป็นที่สุดในการอนุมัติให้ยึดทรัพย์เพื่อขายทอดตลาด
ถ้าค้ำให้คนอื่นแล้วเขาไม่จ่าย เราจะเสียทรัพย์ไหม?
มีความเสี่ยงสูงมาก การนำทรัพย์สินของเราไปค้ำประกันให้ผู้อื่น (ในฐานะผู้จำนอง/ผู้ให้หลักประกัน) หากผู้กู้หลักผิดนัดชำระหนี้ ทรัพย์สินของเราจะตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะถูกยึดเพื่อชำระหนี้แทน ดังนั้นจึงควรพิจารณาให้รอบคอบที่สุด
ถ้าจะใช้ที่ดินค้ำ ต้องเตรียมเอกสารอะไรบ้าง?
เอกสารเบื้องต้นที่ต้องเตรียมสำหรับสินเชื่อมีหลักประกันโดยใช้ที่ดิน ได้แก่: สำเนาบัตรประชาชน, สำเนาทะเบียนบ้าน, โฉนดที่ดินฉบับจริง (น.ส. 4), เอกสารแสดงรายได้ (ถ้ามี), และใบประเมินราคาจากบริษัทที่สถาบันการเงินยอมรับ (ถ้ามี)
ผู้กู้ที่เป็นเจ้าของกิจการ ใช้ทรัพย์ของบริษัทค้ำได้ไหม?
ทำได้ แต่ต้องดำเนินการในนามนิติบุคคล (บริษัท) โดยทรัพย์สินต้องเป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัท และการขอสินเชื่อต้องได้รับมติเห็นชอบจากที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัท พร้อมเอกสารทางกฎหมายของบริษัทเพื่อประกอบการพิจารณา
กู้ร่วมกับคนอื่น ใช้ทรัพย์ของใครค้ำก็ได้หรือเปล่า?
ได้ โดยทรัพย์ที่นำมาค้ำประกันอาจเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้กู้ร่วมคนใดคนหนึ่ง หรืออาจเป็นทรัพย์สินของบุคคลที่สามก็ได้ แต่เจ้าของกรรมสิทธิ์จะต้องมาลงนามในสัญญาเพื่อให้ความยินยอมในการใช้ทรัพย์สินนั้นเป็นหลักประกันด้วยตนเอง
หลักทรัพย์ที่ยังติดภาระผ่อนอยู่ สามารถนำมาขอสินเชื่อได้หรือไม่?
สามารถทำได้ แต่จะอยู่ในรูปแบบของการ “รีไฟแนนซ์” เป็นหลัก โดยผู้ให้กู้รายใหม่จะประเมินมูลค่าทรัพย์สินและนำไปปิดยอดหนี้คงค้างกับสถาบันการเงินเดิม ส่วนต่างที่เหลือหลังหักหนี้แล้ว ผู้กู้จะได้รับเป็นเงินสดออกมา ซึ่งเป็นอีกหนึ่งรูปแบบของสินเชื่อแบบมีหลักทรัพย์ค้ำประกันที่ช่วยเพิ่มสภาพคล่องได้
สรุปบทความ
การเลือกใช้สินเชื่อแบบมีหลักทรัพย์ค้ำประกันนั้นไม่มีคำตอบที่ตายตัวว่าแบบไหนดีที่สุด แต่ขึ้นอยู่กับเป้าหมายและความจำเป็นของแต่ละบุคคล หากต้องการวงเงินสูง ดอกเบี้ยต่ำ และมีเวลาในการดำเนินการ “บ้านและที่ดิน” คือตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด แต่หากต้องการความรวดเร็ว เงินด่วนเพื่อใช้ในยามฉุกเฉิน “รถยนต์” ก็เป็นคำตอบที่ใช่ ที่เพื่อนแท้เงินด่วน เราเข้าใจทุกความต้องการทางการเงิน พร้อมให้บริการสินเชื่อที่ดินและโฉนดที่ดิน ให้วงเงินสูงสุดถึง 130% ของราคาประเมิน ช่วยให้คุณเข้าถึงเงินก้อนโตได้ง่ายขึ้น








