การตรวจสภาพรถยนต์ (ตรอ.) ถือเป็นหน้าที่สำคัญที่เจ้าของรถต้องปฏิบัติตามกฎหมายของกรมการขนส่งทางบก เพื่อสร้างความมั่นใจว่ายานพาหนะมีความมั่นคงแข็งแรง ปลอดภัยต่อการขับขี่ และมีค่าไอเสียไม่เกินมาตรฐาน โดยเฉพาะรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน ที่มีอายุการใช้งานครบ 7 ปีขึ้นไป ซึ่ง “ต้อง” ผ่านการตรวจสภาพให้เรียบร้อยก่อน จึงจะสามารถดำเนินการชำระภาษีรถยนต์ประจำปีได้
อย่างไรก็ตาม เจ้าของรถหลายท่านอาจยังสงสัยว่า “การนับอายุรถที่ถูกต้องเริ่มจากปีไหน?” “ต้องใช้สมุดคู่มือจดทะเบียนฉบับจริงหรือไม่?” หรือ “สามารถตรวจที่สถานตรวจสภาพรถเอกชนได้ไหม?” บทความนี้จะไขข้อข้องใจทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเตรียมเอกสาร การเลือกสถานที่ตรวจ ไปจนถึงอัตราค่าบริการ เพื่อให้คุณวางแผนต่อภาษีรถยนต์ได้อย่างราบรื่น รวดเร็ว และถูกต้องตามระเบียบ
อายุ 7 ปีของรถยนต์นับจากวันไหน?
หนึ่งในคำถามที่พบบ่อยคือ “การนับอายุรถยนต์ 7 ปีเพื่อเข้ารับการตรวจสภาพนั้นเริ่มนับจากเมื่อไร?” หลายคนเข้าใจผิดว่านับจากวันที่ซื้อรถ แต่ในทางกฎหมายแล้ว การนับอายุรถยนต์เพื่อการตรวจสภาพจะเริ่มนับจาก วันที่จดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบก ไม่ใช่วันที่ซื้อหรือวันที่รับรถจากโชว์รูม
ตัวอย่าง:
หากรถยนต์ของคุณจดทะเบียนวันที่ 1 กรกฎาคม 2561 เมื่อถึงวันที่ 1 กรกฎาคม 2568 จะถือว่ารถยนต์มีอายุครบ 7 ปีเต็ม และต้องตรวจสภาพก่อนเสียภาษีประจำปีถัดไป
ดังนั้นการตรวจสอบวันที่จดทะเบียนของรถยนต์คุณเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งสามารถดูได้จาก เล่มทะเบียนรถ หรือ ใบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์ ที่คุณถืออยู่
ทำไมต้องตรวจสภาพเมื่อรถมีอายุ 7 ปี?
กฎหมายไทยกำหนดให้รถยนต์นั่งส่วนบุคคลที่มีอายุการใช้งาน ตั้งแต่ 7 ปีขึ้นไป ต้องเข้ารับการตรวจสภาพก่อนเสียภาษีประจำปีทุกครั้ง การตรวจสภาพมีวัตถุประสงค์เพื่อ:
- ตรวจสอบความปลอดภัยในการใช้งานบนท้องถนน
- ตรวจสอบค่ามลพิษจากไอเสีย ว่าผ่านเกณฑ์ที่กำหนดหรือไม่
- ช่วยลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุที่เกิดจากรถชำรุด
- กระตุ้นให้เจ้าของรถดูแลบำรุงรักษารถอย่างต่อเนื่อง
แม้รถจะดูใหม่หรือใช้งานน้อย แต่เมื่อมีอายุครบ 7 ปี ก็ต้องเข้ารับการตรวจสภาพเช่นเดียวกันตามกฎหมาย
ตรวจสภาพรถยนต์ที่ไหนได้บ้าง?
เจ้าของรถสามารถเลือกตรวจสภาพรถยนต์ได้ทั้ง หน่วยตรวจของกรมการขนส่งทางบก หรือ สถานตรวจสภาพรถเอกชน (ตรอ.) ที่ได้รับการรับรอง โดยทั่วไปขั้นตอนการตรวจสภาพจะแบ่งออกเป็น 2 แบบ:
- ตรวจที่กรมการขนส่งทางบก
- มีเจ้าหน้าที่ตรวจรถในพื้นที่
- เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่รีบ หรือสะดวกนำรถเข้าตรวจช่วงเช้า
- ต้องไปก่อนเสียภาษีประจำปีอย่างน้อย 30 วัน
- ตรวจที่ตรอ. (สถานตรวจสภาพเอกชน)
- สะดวกและรวดเร็วมากกว่า
- มีหลายสาขาทั่วประเทศ
- ค่าใช้จ่ายอยู่ประมาณ 200 – 300 บาท
- เมื่อตรวจผ่านจะได้รับเอกสารแสดงผลการตรวจ ซึ่งสามารถนำไปเสียภาษีได้ทันที
การตรวจที่ตรอ. เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ไม่มีเวลารอนาน และต้องการบริการที่รวดเร็ว โดยสามารถเช็กรายชื่อ ตรอ. ที่ได้รับอนุญาตได้จากเว็บไซต์ของกรมการขนส่งทางบก
ขั้นตอนและเอกสารที่ต้องใช้ในการตรวจสภาพรถยนต์
เมื่อถึงเวลาตรวจสภาพรถยนต์ เจ้าของรถต้องเตรียมตัวให้พร้อม เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างราบรื่น โดยขั้นตอนและเอกสารที่ใช้มีดังนี้
เอกสารที่ต้องเตรียม
- เล่มทะเบียนรถตัวจริง (หรือสำเนาที่ชัดเจน)
- บัตรประชาชนของเจ้าของรถ (ใช้กรณีมีปัญหาในการยืนยันตัวตน)
- ใบรับรองผลตรวจสภาพ (กรณีตรวจที่ตรอ.)
ขั้นตอนการตรวจ
- เจ้าหน้าที่ตรวจสภาพรถทั้งภายนอกและภายใน
- ระบบไฟหน้า-หลัง, ไฟเบรก, ไฟเลี้ยว, ไฟถอย
- ระบบเบรก
- ยางล้อและลมยาง
- ระบบช่วงล่าง
- ระดับเสียงเครื่องยนต์
- ค่าควันดำ/มลพิษ (เฉพาะรถใช้น้ำมันดีเซล)
- หากรถผ่าน จะได้รับเอกสารผ่านการตรวจ
- นำใบตรวจนั้นไปใช้ประกอบการเสียภาษีรถยนต์ประจำปี
หมายเหตุ: หากรถไม่ผ่านการตรวจ จะต้องทำการแก้ไขตามที่เจ้าหน้าที่แจ้ง แล้วจึงกลับมาตรวจซ้ำอีกครั้ง
คำแนะนำเพิ่มเติมสำหรับเจ้าของรถยนต์
เพื่อให้การตรวจสภาพรถยนต์เป็นไปอย่างราบรื่น และลดความยุ่งยาก เจ้าของรถควรปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้
- ตรวจเช็กเบื้องต้นด้วยตัวเองก่อนพาเข้าตรวจ เช่น ตรวจยาง ไฟหน้า ไฟเบรก น้ำมันเครื่อง และเสียงรบกวนต่าง ๆ
- อย่ารอถึงวันสุดท้ายก่อนหมดภาษี ควรตรวจล่วงหน้าประมาณ 30 วัน เพื่อมีเวลาแก้ไขหากรถไม่ผ่าน
- เตรียมเอกสารให้พร้อม โดยเฉพาะเล่มทะเบียนตัวจริงหรือสำเนาชัดเจน
- ควรเลือกตรอ. ที่ได้มาตรฐานและใกล้บ้าน เพื่อประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง
- อย่าลืมประกันภัยรถยนต์ หากยังไม่มีหรือหมดอายุ ควรต่อก่อนเสียภาษี เพราะจะต้องแสดงหลักฐานการทำประกันภาคบังคับ (พรบ.) ด้วย
สรุป
การตรวจสภาพรถยนต์เมื่อครบ 7 ปีเป็นเรื่องสำคัญที่เจ้าของรถทุกคนต้องใส่ใจ โดยการนับอายุรถยนต์เริ่มตั้งแต่วันที่จดทะเบียน ไม่ใช่วันที่ซื้อรถ และสามารถเข้ารับการตรวจได้ทั้งที่กรมการขนส่งทางบกหรือสถานตรวจสภาพเอกชน (ตรอ.) เจ้าของรถควรตรวจสอบและบำรุงรักษารถอย่างสม่ำเสมอ เตรียมเอกสารให้พร้อม และควรดำเนินการก่อนครบกำหนดเสียภาษี เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาหรือค่าปรับ






