การวางแผนภาษีในแต่ละปีเป็นเรื่องสำคัญสำหรับบุคคลธรรมดาและเจ้าของธุรกิจ เพราะนอกจากจะช่วยลดภาระการชำระภาษีแล้ว ยังสามารถเพิ่มโอกาสในการออมเงินและลงทุนได้อีกด้วย สำหรับปี 2568 การลดหย่อนภาษียังคงมีมาตรการและสิทธิประโยชน์ที่สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ ดังนั้นบทความนี้จึงรวบรวมข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับการลดหย่อนภาษีในปีนี้ พร้อมคำแนะนำสำหรับการวางแผนภาษีให้มีประสิทธิภาพที่สุด
การลดหย่อนภาษีคืออะไร?
การลดหย่อนภาษี คือสิทธิประโยชน์ที่กฎหมายกำหนดให้ประชาชนสามารถนำค่าใช้จ่ายบางส่วนมาหักออกจากรายได้ เพื่อคำนวณภาษีที่ต้องจ่าย ซึ่งการลดหย่อนภาษีถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยลดภาระทางการเงิน โดยในปี 2568 มีการปรับปรุงเงื่อนไขและเพิ่มรายการลดหย่อนภาษีในหลายส่วนเพื่อส่งเสริมการออม การลงทุน และการสนับสนุนเศรษฐกิจในระดับครัวเรือนและระดับประเทศ
ตัวอย่างประเภทการลดหย่อนภาษีที่สำคัญ
- ค่าใช้จ่ายส่วนตัว เช่น ค่าเบี้ยประกันชีวิต และเบี้ยประกันสุขภาพ
- ค่าใช้จ่ายครอบครัว เช่น ค่าเลี้ยงดูบิดามารดา หรือบุตรที่ยังศึกษาอยู่
- การลงทุนและออมเงิน เช่น กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (RMF)
มาตรการลดหย่อนภาษีที่ควรรู้ในปี 2568
ในปี 2568 รัฐบาลได้ออกมาตรการลดหย่อนภาษีใหม่ที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างเสถียรภาพทางการเงินให้กับประชาชน รวมถึงยังมีการคงสิทธิประโยชน์บางอย่างที่ได้รับความนิยมในปีที่ผ่านมาไว้เช่นกัน ต่อไปนี้คือตัวอย่างมาตรการสำคัญ:
1. ค่าลดหย่อนส่วนตัวและครอบครัว
ค่าลดหย่อนส่วนตัวและครอบครัวเป็นสิทธิที่ผู้เสียภาษีทุกคนสามารถใช้เพื่อบรรเทาภาระภาษีได้ โดยในปี 2568 รายการลดหย่อนดังกล่าวยังคงมีรายละเอียดสำคัญดังนี้:
- ค่าลดหย่อนส่วนตัว: 60,000 บาท
- ค่าลดหย่อนคู่สมรส: 60,000 บาท
- ค่าลดหย่อนบุตร:
- บุตรคนแรก ลดหย่อนได้ 30,000 บาท
- บุตรคนที่สองและคนถัดไป (เกิดตั้งแต่ปี 2561) ลดหย่อนได้คนละ 60,000 บาท
(ทั้งนี้บุตรต้องมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาท และอายุต่ำกว่า 20 ปี)
- บุตรคนที่สองและคนถัดไป (เกิดตั้งแต่ปี 2561) ลดหย่อนได้คนละ 60,000 บาท
- บุตรบุญธรรม: ลดหย่อนได้หากมีการจดทะเบียนตามกฎหมาย โดยสามารถลดหย่อนได้รวมไม่เกิน 3 คน
- ค่าลดหย่อนบิดามารดา: คนละ 30,000 บาท (บิดามารดาต้องอายุ 60 ปีขึ้นไป และมีรายได้ไม่เกินเกณฑ์ที่กำหนด)
- ค่าเลี้ยงดูผู้พิการหรือผู้ทุพพลภาพ: คนละ 60,000 บาท
2. ค่าลดหย่อนการออม การลงทุน และประกัน
การออมเงินและการลงทุน รวมถึงการซื้อประกันชีวิตและสุขภาพ เป็นช่องทางสำคัญที่ช่วยลดภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยในปี 2568 รายละเอียดลดหย่อนมีดังนี้:
- กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF): ลดหย่อนได้ไม่เกิน 30% ของรายได้ หรือไม่เกิน 200,000 บาท
- กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF): ลดหย่อนได้ไม่เกิน 30% ของรายได้ หรือไม่เกิน 500,000 บาท (รวมกับกองทุนเกษียณอื่น ๆ ไม่เกิน 500,000 บาท)
- กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD): ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง ไม่เกิน 15% ของค่าจ้าง และไม่เกิน 500,000 บาท
- กองทุนบำเหน็จบำนาญราชการ (กบข.): ลดหย่อนได้ 30% ของรายได้ หรือไม่เกิน 500,000 บาท
- กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.): ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 30,000 บาท
- ประกันชีวิต: ลดหย่อนได้สูงสุด 100,000 บาท (รวมประกันสุขภาพตนเอง)
- ประกันสุขภาพพ่อแม่: ลดหย่อนได้สูงสุด 15,000 บาท
- เบี้ยประกันบำนาญ: ลดหย่อนได้สูงสุด 200,000 บาท หรือไม่เกิน 15% ของรายได้ที่ต้องเสียภาษี
รวมเงินออมและการลงทุน (SSF + RMF + กอช. + PVD/กบข. + กองทุนครู + ประกันบำนาญ) ไม่เกิน 500,000 บาทต่อปี
3. ค่าลดหย่อนเพื่อส่งเสริมการศึกษาและการบริจาค
การส่งเสริมการศึกษาและการบริจาคเพื่อการกุศลยังคงเป็นช่องทางลดหย่อนภาษีที่สำคัญในปี 2568:
- การบริจาคเพื่อการศึกษา: ลดหย่อนได้ 2 เท่าของเงินบริจาค แต่ไม่เกิน 10% ของรายได้
- การบริจาคทั่วไป: ลดหย่อนได้ตามจริง แต่ไม่เกิน 10% ของรายได้หลังหักค่าลดหย่อน
- การบริจาคให้พรรคการเมือง: ลดหย่อนได้สูงสุด 10,000 บาท
4. ค่าลดหย่อนดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อซื้อ/สร้างที่อยู่อาศัย
สำหรับผู้ที่มีเงินกู้เพื่อซื้อหรือสร้างบ้านพักอาศัย สามารถลดหย่อนได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท โดยสามารถใช้สิทธิลดหย่อนได้สำหรับบ้านเดี่ยว คอนโด หรืออาคารชุด ทั้งนี้ต้องเป็นที่อยู่อาศัยส่วนตัวของผู้ยื่นภาษี
เคล็ดลับในการจัดการภาษีอย่างมีประสิทธิภาพ
การลดหย่อนภาษีให้ได้ผลดีไม่เพียงแค่รู้จักรายการลดหย่อนเท่านั้น แต่ยังต้องมีการวางแผนอย่างเป็นระบบ ต่อไปนี้คือเคล็ดลับสำคัญ:
- วางแผนการออมและการลงทุนตั้งแต่ต้นปี การลงทุนในกองทุน SSF หรือ RMF ต้องเป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนด ดังนั้นการเริ่มวางแผนตั้งแต่ต้นปีจะช่วยกระจายความเสี่ยงทางการเงินและลดแรงกดดันในช่วงสิ้นปี
- เก็บเอกสารการลดหย่อนภาษีอย่างเป็นระเบียบ การจัดเก็บเอกสาร เช่น ใบเสร็จรับเงินสำหรับการบริจาค หรือใบรับรองค่าเบี้ยประกันชีวิต จะช่วยให้คุณสามารถขอลดหย่อนได้อย่างครบถ้วนในช่วงเวลายื่นแบบแสดงรายการภาษี
- ใช้เทคโนโลยีในการช่วยคำนวณภาษี ปัจจุบันมีแอปพลิเคชันและเว็บไซต์ที่ช่วยคำนวณภาษีและรายการลดหย่อน เช่น โปรแกรมของกรมสรรพากร หรือแอปพลิเคชันการเงินต่าง ๆ
การยื่นภาษี: ขั้นตอนและข้อควรรู้
การยื่นภาษีเป็นขั้นตอนสำคัญที่ทุกคนต้องทำอย่างถูกต้อง เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกปรับหรือเสียสิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษี ดังนั้นการเตรียมตัวให้พร้อมจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม
- ตรวจสอบรายการลดหย่อนทั้งหมดก่อนยื่นแบบ ควรตรวจสอบว่าคุณได้ใช้สิทธิประโยชน์ครบทุกส่วน เช่น ค่าลดหย่อนส่วนตัว ค่าลดหย่อนสำหรับบุตร และค่าลดหย่อนสำหรับการบริจาค
- ยื่นแบบภาษีออนไลน์ การยื่นแบบออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ของกรมสรรพากรเป็นวิธีที่สะดวกและรวดเร็ว อีกทั้งยังสามารถตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลได้อย่างง่ายดาย
- ชำระภาษีและจัดการเอกสารให้เรียบร้อย หลังจากยื่นภาษีเรียบร้อยแล้ว ควรเก็บเอกสารการชำระภาษีและหลักฐานที่เกี่ยวข้องไว้เพื่อใช้ในการตรวจสอบย้อนหลังหากจำเป็น
ประโยชน์ของการลดหย่อนภาษี
การลดหย่อนภาษีไม่เพียงช่วยลดภาระทางการเงิน แต่ยังเป็นการสนับสนุนให้ประชาชนมีวินัยในการออมเงินและลงทุนเพื่ออนาคต นอกจากนี้ยังช่วยเสริมสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจโดยรวม ดังนี้:
- เพิ่มโอกาสในการออมเงิน: สิทธิประโยชน์จากกองทุน SSF และ RMF ช่วยส่งเสริมให้คนไทยออมเงินระยะยาว
- ลดความเสี่ยงทางการเงินในอนาคต: การมีประกันชีวิตและประกันสุขภาพช่วยป้องกันความเสี่ยงด้านสุขภาพและการเงิน
- สนับสนุนสังคมและชุมชน: การบริจาคเงินให้แก่องค์กรการกุศลไม่เพียงช่วยลดหย่อนภาษี แต่ยังมีส่วนช่วยสร้างความเปลี่ยนแปลงในสังคม
สรุป
การลดหย่อนภาษีในปี 2568 เป็นโอกาสที่ทุกคนสามารถใช้ประโยชน์เพื่อจัดการภาษีอย่างมีประสิทธิภาพ การทำความเข้าใจมาตรการและสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ จะช่วยให้คุณสามารถลดภาระทางการเงินและเพิ่มโอกาสทางการลงทุนได้ในระยะยาว