ประกันสังคม มาตรา 33 วิธีเบิกค่ารักษาพยาบาลอย่างถูกต้อง

ประกันสังคม มาตรา 33: วิธีเบิกค่ารักษาพยาบาลอย่างถูกต้อง

    ประกันสังคม เป็นระบบประกันสุขภาพและสวัสดิการที่สำคัญสำหรับแรงงานในประเทศไทย โดยเฉพาะกลุ่มที่อยู่ในมาตรา 33 ซึ่งครอบคลุมแรงงานในภาคเอกชนที่มีนายจ้าง บทความนี้จะกล่าวถึงรายละเอียดเกี่ยวกับการเบิกค่ารักษาพยาบาลภายใต้ระบบประกันสังคมมาตรา 33 เพื่อให้ผู้ประกันตนเข้าใจถึงสิทธิและขั้นตอนที่เกี่ยวข้อง 

ความสำคัญของประกันสังคม มาตรา 33

ความสำคัญของประกันสังคม มาตรา 33

    ประกันสังคมมาตรา 33 ถูกออกแบบมาเพื่อให้ความคุ้มครองด้านสุขภาพและสวัสดิการแก่พนักงานในภาคเอกชน โดยเฉพาะเรื่องค่ารักษาพยาบาลที่ถือเป็นหนึ่งในสิทธิที่สำคัญของผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม 

สิทธิในมาตรา 33 ครอบคลุมหลากหลายด้าน เช่น 

    • การรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลที่เลือก 
    • การคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลในกรณีเจ็บป่วยหรือประสบอุบัติเหตุ 
    • การเบิกค่าคลอดบุตร 
    • การได้รับเงินชดเชยกรณีหยุดงานเนื่องจากปัญหาสุขภาพ 

ความสำคัญของสิทธิเหล่านี้คือช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ประกันตนในช่วงที่ต้องการความช่วยเหลือด้านการเงินอย่างเร่งด่วน 

สิทธิค่ารักษาพยาบาลที่ผู้ประกันตนมาตรา 33 จะได้รับ

สิทธิค่ารักษาพยาบาลที่ผู้ประกันตนมาตรา 33 จะได้รับ

ผู้ประกันตนในมาตรา 33 มีสิทธิในการรักษาพยาบาลโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายตามที่กำหนดในกองทุนประกันสังคม โดยสามารถเลือกโรงพยาบาลคู่สัญญาที่ตนต้องการใช้บริการได้ สิทธินี้รวมถึงการตรวจรักษาและยาที่จำเป็น ดังนี้: 

    • การตรวจวินิจฉัยโรค 
    • การรักษาโรคทั่วไปและเฉพาะทาง 
    • การผ่าตัด 
    • การทำกายภาพบำบัด 
    • ค่ายาและเวชภัณฑ์ที่จำเป็น 

ผู้ประกันตนสามารถตรวจสอบรายชื่อโรงพยาบาลที่เข้าร่วมในระบบประกันสังคมได้ผ่านเว็บไซต์สำนักงานประกันสังคม 

เงื่อนไขการเบิกค่ารักษาพยาบาลในระบบประกันสังคม

เงื่อนไขการเบิกค่ารักษาพยาบาลในระบบประกันสังคม

แม้สิทธิค่ารักษาพยาบาลในระบบประกันสังคมจะครอบคลุมหลากหลายด้าน แต่ก็มีเงื่อนไขที่ผู้ประกันตนต้องทราบเพื่อให้สามารถใช้สิทธิได้อย่างถูกต้อง 

    • ผู้ประกันตนต้องเลือกโรงพยาบาลในเครือประกันสังคมเพียง 1 แห่ง 
    • การเปลี่ยนโรงพยาบาลสามารถทำได้ปีละ 2 ครั้ง (มกราคมและกรกฎาคม) 
    • ในกรณีฉุกเฉินสามารถเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลอื่นได้ โดยต้องแจ้งสำนักงานประกันสังคมภายใน 72 ชั่วโมง 
    • ค่าใช้จ่ายในกรณีเกินสิทธิที่กำหนดไว้ ผู้ประกันตนอาจต้องรับผิดชอบเพิ่มเติม 
เอกสารสำหรับแนบเบิกสิทธิประโยชน์

เอกสารสำหรับแนบเบิกสิทธิประโยชน์

ทุกครั้งที่ผู้ประกันตนต้องเข้ารักษาพยาบาล ให้ทำการขอเอกสารและดำเนินการ ดังนี้ 

    1. สำรองจ่ายค่ารักษาพยาบาลล่วงหน้า ผู้ประกันตนต้องสำรองจ่ายค่ารักษาพยาบาลในกรณีฉุกเฉิน หรือในกรณีที่ไม่ได้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลคู่สัญญาของประกันสังคม 
    2. ขอใบรับรองแพทย์ ขอใบรับรองแพทย์ที่ระบุถึงเหตุผลของการเข้ารักษา เช่น อาการเจ็บป่วยฉุกเฉินหรือการประสบอุบัติเหตุ โดยใบรับรองแพทย์ควรแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับอาการและเหตุผลที่ต้องเข้ารับการรักษา 
    3. ขอใบเสร็จรับเงิน ขอใบเสร็จรับเงินที่แสดงค่าใช้จ่ายโดยละเอียด เพื่อนำไปยื่นเบิกค่ารักษาพยาบาลคืนได้ที่สำนักงานประกันสังคมในพื้นที่กรุงเทพมหานครหรือสำนักงานประกันสังคมจังหวัด รวมถึงสาขาทั่วประเทศ โดยการเบิกจะเป็นไปตามอัตราที่กำหนด 
ค่ารักษาพยาบาลของแต่ละประเภทที่สามารถเบิกจ่ายได้

ค่ารักษาพยาบาลของแต่ละประเภทที่สามารถเบิกจ่ายได้

1. การรักษาพยาบาลในสถานพยาบาลของรัฐ

สำหรับผู้ประกันตนที่เข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลของรัฐ สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลได้ดังนี้: 

    • ผู้ป่วยนอก: 
      เบิกค่ารักษาพยาบาลได้ตามจำนวนเงินที่จ่ายจริง และจำเป็นต่อการรักษา 
    • ผู้ป่วยใน: 
      เบิกค่ารักษาพยาบาลตามจำนวนที่จ่ายจริง ภายในระยะเวลาไม่เกิน 72 ชั่วโมง 
      ค่าห้องและค่าอาหาร เบิกได้ไม่เกินวันละ 700 บาท 

2. การรักษาพยาบาลในสถานพยาบาลของเอกชน

สำหรับการรักษาในสถานพยาบาลเอกชน สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลตามรายละเอียดดังนี้: 

กรณีผู้ป่วยนอก: 

  • ค่าบริการทางการแพทย์ เบิกได้เท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 1,000 บาท 
  • หากค่ารักษาเกิน 1,000 บาท สามารถเบิกได้ในกรณีที่เข้าข่ายรายการดังต่อไปนี้: 
    • ค่ารับเลือดหรือส่วนประกอบของเลือด: ไม่เกิน 500 บาท/ยูนิต 
    • วัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า (Rabies Vaccine): 
      • เข็มแรกไม่เกิน 200 บาท 
      • Rabies antiserum (ERIG): ไม่เกิน 1,000 บาท 
      • Rabies antiserum (HRIG): ไม่เกิน 8,000 บาท 
    • อัลตร้าซาวด์: ไม่เกิน 1,000 บาท (กรณีภาวะฉุกเฉิน) 
    • CT-SCAN: ไม่เกิน 4,000 บาท หรือ MRI: ไม่เกิน 8,000 บาท 
    • ค่าผ่าตัดใหญ่: 
      • ไม่เกิน 8,000 บาท (ผ่าตัดไม่เกิน 1 ชั่วโมง) 
      • ไม่เกิน 12,000 บาท (ผ่าตัด 1-2 ชั่วโมง) 
      • ไม่เกิน 16,000 บาท (ผ่าตัดเกิน 2 ชั่วโมง) 
    • ค่าฟื้นคืนชีพรวมค่ายาและอุปกรณ์: ไม่เกิน 4,000 บาท 
    • ค่าตรวจวินิจฉัยพิเศษ เช่น: 
      • ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG): ไม่เกิน 300 บาท 
      • ตรวจคลื่นสมอง (EEG): ไม่เกิน 350 บาท 
      • ตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงสะท้อน: ไม่เกิน 1,500 บาท 
      • ส่องกล้อง (ยกเว้น Proctoscopy): ไม่เกิน 1,500 บาท 
      • Intravenous Pyelography (IVP): ไม่เกิน 1,500 บาท 

กรณีผู้ป่วยใน: 

  • ค่ารักษาพยาบาล (ไม่รวม ICU): ไม่เกินวันละ 2,000 บาท 
  • ค่าห้องและค่าอาหาร: ไม่เกินวันละ 700 บาท 
  • ค่าห้อง ค่าอาหาร และค่ารักษาใน ICU: ไม่เกินวันละ 4,500 บาท 
  • ค่าตรวจทางห้องปฏิบัติการ/เอกซเรย์: ไม่เกิน 1,000 บาท 
  • ค่าสวนเส้นเลือดหัวใจและเอกซเรย์: ไม่เกิน 15,000 บาท 

สรุป

    ประกันสังคม มาตรา 33 เป็นระบบที่ช่วยแบ่งเบาภาระด้านสุขภาพและการเงินให้กับผู้ประกันตนในภาคเอกชน การทำความเข้าใจถึงสิทธิและขั้นตอนการเบิกค่ารักษาพยาบาลอย่างละเอียด จะช่วยให้ผู้ประกันตนสามารถใช้สิทธิได้อย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพ

เพื่อนแท้ เงินด่วน

บทความยอดนิยม